ครูบาสุบินสุเมธโส http://krubasubin.siam2web.com/

                       

 

         

      ครูบาสุบิน สุเมธโส  พระผู้มีวิชาอาคมด้านมหาเมตตาแห่งล้านนา  ผู้สืบทอดวิชาเสริมสิริมงคล 9 จุด จากครูบาดวง ฐิตวโร  วัดศรีทรายมูล และวิชาสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาตามฉบับล้านนา จากครูบาอิ่นแก้ว วัดวาลุการาม ด้วยความที่ครูบาสุบินท่านเป็นผู้ใฝ่รู้ใฝ่ศึกษา ท่านจึงออกธุดงค์เพื่อไปร่ำเรียนวิชาต่างๆ มากมาย จากอาจารย์ทุกทั่วสารทิศ  ไม่ว่าจะเป็นวิชาสักสาลิกา สักยันต์เก้ายอด พิธีเรียกสาลิกาคู่ชีวิต นี่เป็นเพียงส่วนเดียวที่ท่านได้ศึกษามา   หากได้สอบถามกันจริงๆแล้วครูบาสุบินท่านยังมีวิชาอีกมากมาย เรียกได้ว่าบันทึกเป็นคำพูดไม่หมด ข้อความที่นำมาเสนอต่อท่านนี้  คัดย่อมาจากหนังสือโลกลี้ลับ (หนังสือในเครือโลกทิพย์)

ประวัติพอสังเขบ

ครูบาชื่อ ครูบาสุบิน  สุเมธโส  เดิมโยมบิดาโยมมารดาตั้งชื่อว่า “เมืองใจ๋” เป็นชาวเหนือโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2522 ณ.บ้านป่าไผ่ ต.ป่างาม อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันอายุ 31 ย่าง 32 ปี โยมบิดาชื่อนายเสาร์คำ พวงดอกแดง โยมมารดาชื่อนางอุไรวัลย์ พวงดอกแดง โยมบิดา โยมมารดามีครูบาเป็นลูกชายคนโตและน้องสาวอีกหนึ่งคน ที่บ้านประกอบอาชีพทำนา และรับจ้างทั่วไป ครูบาเริ่มต้นศึกษาที่วัดศรีประดู่ ซึ่งเป็นโรงเรียนใกล้บ้านจจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นจึงได้ศึกษาต่อชั้นมัธยม

 

 
ชีวิตผูกพันธ์กับวัดมาแต่เด็กๆ

     ตามประเพณีทางเหนือ เวลาลูกผู้ชายบวชเป็นสามเณรจะมีพิธีใหญ่โต มีขี่ม้า  เค้าเรียกว่าบวชลูกแก้ว เด็กผู้ชายอายุ 7 ขวบก็บวชได้แล้ว  เหมือนครูบาชุ่ม เมื่อก่อนท่านก็บวชตั้งแต่อายุ 7 ปี แต่ของครูบาบวชตอนอายุ 13 ปี ที่บวชก็เพราะว่าตั้งแต่เด็กเลย โยมยายกับโยมย่า (ทางเหนือเรียกอุ๊ย) ที่เลี้ยงครูบา ท่านจะปลูกฝังแต่ในสิ่งที่ดีๆ และพาเข้าวัดบ่อยๆ เลยเกิดความรู้สึกชอบวัด ใจก็รักวัด พอเข้าวัด มันก็มีความรู้สึกถึงสัมผัสที่แปลกประหลาดเหมือนกับมีญาณมีอะไรพวกนี้แหละ ประมาณว่าเมื่อได้เข้าไปที่วัดเมื่อไหร่ มันก็จะเกิดความรู้สึกมีความสุข มีความสงบเกิดขึ้น ไม่เหมือนเวลาอยู่ข้างนอกวัด  ช่วงชีวิตวัยเด็กจะไม่ค่อยได้เล่นกับเด็กทั่วๆไปเลย เมื่อครูบามีเวลาว่างครูบาก็จะอยู่ที่วัดตลอด ทำให้ครูบาไม่ค่อยได้กลับไปอยู่ที่บ้าน

     เมื่ออายุได้ 11 ปี ครูบาได้หนีโยมบิดา โยมมารดาเข้ามาอยู่ในวัดศรีประดู่  อยู่ทีวัดก็ได้เรียนได้ศึกษาภาษาล้านนาของทางภาคเหนือ ถ้าเป็นทางภาคกลางจะเป็นภาษาขอม เวลาที่ศึกษาภาษาล้านนามันก็เหมือนกับเป็นบุญเก่า ศึกษาได้ไม่นานแต่ก็สามารถอ่านได้หมด อย่างบางคนที่ศึกษาเป็นปียังอ่านไม่ได้ก็มี แต่ครูบาศึกษาไม่นานมันก็อ่านได้เอง สมัยเด็กๆครูบามีนิสัยชอบอยู่แต่ในวัด  ไม่ได้ออกไปเล่นไปเกเรที่ไหนเลย ชอบปั้นพระปั้นอะไรไปเรื่อย โดยการเอาดินมาปั้นเล่น พอไปโรงเรียนใกล้วัดก็อยู่วัดนั่นแหละ  ไปเรียนแล้วก็กลับมาที่วัด ครูบามีน้องผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง แต่ไม่ได้เล่นกันตั้งแต่เด็กเลยไม่ได้ผูกพันกันเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่น้องเกิดมาครูบาก็อยู่ที่วัดแล้ว.

 

 บวชลูกแก้วเป็นสามเณร

 ครั้นต่อมาเมื่ออายุ 13 ปี ได้บวชลูกแก้วเป็นสามเณรที่วัดศรีประดู่ โดยมี พระครูเขมาพิราม วัดยางทอง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอุปัชฌาย์ การอยู่วัดในสมัยก่อนไมเหมือนการอยู่วัดในสมัยนี้ ก็มีเพื่อนๆมาบวชเณรอยู่ร่วมกัน 6-7 รูป แต่ทนไม่ได้เพราะต้องถางหญ้า ทำวัตรสวดมนต์บางทีก็สวดมนต์ตั้งแต่หนึ่งทุ่มถึงเที่ยงคืน พอสวดเสร็จเราก็พักผ่อนได้ ถ้าสวดไม่ได้ก็จะมีการทำโทษเช่น ให้รดน้ำต้นไม้ตอนกลางคืน สมัยก่อนเมื่อยังเด็ก ถ้าได้รู้ว่าที่ไหนผีดุก็เกิดความกลัวบ้างบางครั้ง แต่พอมาได้ศึกษาเรื่องพวกนี้แล้ว มันสัมผัสและรับรู้ได้แล้วก็ไม่รู้สึกกลัว จากนั้นได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี โท เอก ตามลำดับ จากสำนักเรียนวัดพระเชตุพนฯ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เค้าเรียกโรงเรียนปริยัติ เป็นสามัญศึกษา ก็เรียนชั้นมัธยมเหมือนคนทั่วไปนี่แหละ ตอนที่เรียนก็บวชเป็นสามเณรอยู่ เรียนๆไปก็จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ส่วนบาลีเรียนประโยค1-2 แต่ไม่ได้สอบ แล้วศึกษาทางโลก จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่6

     เมื่ออาตมาจบนักธรรมเอกแล้วก็หันไปสนใจด้านพุทธาคมกับครูบาอาจารย์หลายรูป รวมทั้งข้อวัตรปฏิบัติพระกรรมฐาน การศึกษาพุทธาคมครูบาได้เรียนอักขระล้านนาวิชาทางด้านเมตตากับ พระครูสิริสุภาจารย์ เจ้าอาวาสวัดศรีประดู่ ตลอดจนเรียนวิชาอาคมด้านไสยศาสตร์ จากนั้นได้ไปเรียนวิชาเทียนมหาเศรษฐีพันอย่าง ในทางสะเดาะเคราะห์ต่อชะตา หนุนดวงชะตากับ ครูบาอิ่นแก้ว อนิญชโณ วัดวาลุการาม(ป่าเงาะ) จังหวัดเชียงใหม่ อีกทั้งครูบาอิ่นแก้ว ท่านยังได้สอนวิธีนั่งสมาธิ โดยนั่งตั้งแต่ตี5 จนถึงเที่ยงวัน นับเป็นครูบาอาจารย์ที่ตัวครูบาได้ใกล้ชิดมากที่สุด.

 ติดตามครูบาอาจารย์ออกธุดงควัตร
แล้วครูบาได้ติตตามครูบาอาจารย์ออกธุดงควัตรปฏิบัติธรรมไปแถวพม่า ผ่านไปทางลำปาง เชียงราย ตอนธุดงค์ไปภาคเหนือจะไปป่าบ้าง วัดร้างบ้าง มีครั้งหนึ่งได้ไปพักที่ข้างหลังวัดร้างซึ่งจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ 2 ต้น สักพักหนึ่งชาวบ้านได้เดินมาบอกว่าตรงนี้มีผีสองนางนะ ขอให้ครูบาระวังไว้หน่อย ซึ่งชาวบ้านแถวนั้นก็ไม่ค่อยกล้าเขามาเพราะกลัวจะโดนผีหลอก ครูบาก็เลยได้ปักกลดพักอยู่แถวนั้นและได้สวดมนต์ภาวนาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่วิญญาณทั้งหลายที่อยู่ในละแวกนั้น แล้วครูบาก็ได้อธิษฐานว่าถ้าผีสองนางอยากตามไปแผ่บุญด้วยกันก็ให้ตามมา  
     พอเช้าขึ้นก็ทำกิจวัตรตามปกติ หลังจากเก็บกลดเสร็จจึงได้เดินทางต่อ พอตกเย็นครูบาก็ได้กางกลดออกแล้วก็พบว่ามีตั๊กแตนสองตัว สีสันสวยงาม มีสีเขียวแบบเจ็ดสี ซึ่งทั้งสองตัวก็ไม่เหมือนกัน เป็นตัวผู้และตัวเมียเกาะติดมากับกลดด้วย บางทีครูบาก็ฝึกสมาธิในป่าช้า ได้เจอเหตุการณ์แปลกๆอยู่บ้างอย่างเช่น บางทีครูบาทำพิธีจะมีงู ตะขาบเข้ามา เค้ามาแต่เราไม่ต้องกลัว ไม่ต้องไปตีไปไล่เขาหรอก เขามาเพื่อรับรู้แล้วก็จะหายไปเอง  บางทีก็เป็นสุนัขบ้าง คืออยู่ในป่าช้าแล้วเห็นมีสุนัขวิ่งผ่านชนกำแพงหายเข้าไปเลย เหมือนเป็นนายป่าช้า แต่ทางภาษาเหนือเค้าจะเรียกว่า ปู่เซี่ยงเมี้ยง ส่วนทางใต้ไปศึกษาวิชาทีเขาอ้อ เช่นการสักสาลิกา และการสักยันต์ต่างๆ แต่ครูบาเน้นทางเมตตา ไม่เอาคงกระพัน

 

 

บวชแล้วไปอยู่ที่สันกำแพง 

เมื่อกลับจากธุดงค์แล้วช่วงนั้นอายุ 20 ปี ครบบวชพอดี ก็ได้ญัตติกรรมเป็นพระภิกษุ โดยมี พระครูรัตนวราธร วัดป่าไม้แดง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นพระอุปัชฌาย์ ครั้นญัตติแล้วได้ไปอยู่กับ ครูบาหน้อย วัดบ้านปง (มรณภาพอายุ 102 ปี ) และครูบาเป็นเจ้าสำนักตั้งแต่อายุ 18 ปี อยู่ที่สำนักสงฆ์ใหม่จันทรวิโรจน์ ตำบลสันกำแพง อำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ตอนแรกที่มาอยู่ที่สันกำแพงนี้ยังไม่มีอะไรเลย ครูบาลงมือสร้าง เริ่มตั้งแต่สร้ากำแพง ตลอดจนขยายที่ดิน เหตุที่ได้มาอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งนี้ ก็เพราะชาวบ้านเค้านิมนต์ให้มาอยู่ที่นี่ ที่สันกำแพงกับดอยสะเก็ดห่างกันพอสมควร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30-45 นาที  ตั้งแต่ครูบาบวชมานี่นานๆถึงกลับบ้านที ครูบาชอบนั่งสมาธิไปเรื่อยๆ เพราะทำให้จิตใจสงบ หลังจากที่บวชแล้วครูบาก็ได้สร้างสำนัก สร้างอะไรบ้าง

ศึกษาเล่าเรียนวิชาต่างๆ 

ครูบาได้ศึกษาวิชาหัวใจเสือสมิง กับครูบาหน้อย วัดบ้านปง ซึ่งสมัยนั้นเขี้ยวเสือลงยันต์อาคมเป็ฯที่โด่งดังมาก โดยครูบาหน้อยท่านสร้างไว้เท่าไหร่ ลูกศิษย์ก็บูชากันจนหมดวัด แล้วก็ได้ร่ำเรียนวิชากับ พ่อหนานดวงตา ซึ่งท่านเป็นศิษย์เอกของ ครูบาเจ้าศรีวิชัย ท่านได้เก็บรวบรวมตำราของครูบาเจ้าศรีวิชัยไว้เป็นอย่างดี อาทิ การภาวนากรรมฐาน ที่ครูบาเจ้าศีวิชัยท่านเขียนไว้เป็นภาษาล้านนา และวิธีทำสมาธิกรรมฐานเบื้องต้นจนถึงเบื้องสูง วิธีการเข้านิโรธกรรมตามแบบฉบับครูบาเจ้าศรีวิชัย  โดยพ่อหนานดวงตา ท่านมีความเก่งกล้าด้านการลงอักขระเลขยันต์ และนอกจากนั้นท่านยังมอบตำรารวมทั้งผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า ของครูบาเจ้าศรีวิชัยมาเป็นสมบัติสืบทอดให้กับครูบาอีกด้วย ส่วนอาจารย์ฆราวาส คือ อาจารย์สุวรรณ มณีสีแสง แห่งเมือง เชียงใหม่ ได้พลกันตอนครูบาเป็นสามเณรอยู่ที่เชียงใหม่และได้รับการถ่ายทอด เช่น วิชาการสร้างเทียนสะเดาะห์เคราะห์ การสักยันต์ทางเมตตามหานิยม รวมทั้งการสร้างพระผง และพิธีกรรมสาลิกาคู่ชีวิตดีทางเมตตาค้าขาย โดยพิธีกรรมนี้จะใช้ไม้ 2 อันวางที่มือแล้วอธิษฐาน เขียน วัน เดือน ปี เกิด ทำเป็นตะกรุด 2 ดอกผูกไว้ที่ปลายไม้ แล้วทำพิธีเรียกสาลิกาเข้าอยู่เป็นคู่ชีวิตของเรา คนที่ทำไปแล้วเห็นผล มีประสบการณ์มากมาย  และอาจารย์สายเขาอ้อคือ อาจารย์โยคีเคราเหล็ก ได้รับการถ่ายทอดวิชาสักสาลิกาที่ริมฝีปาก เป็นการสักหมึก  ผู้ที่จะทำการสักต้องใช้ใบโพธิ์ 9 ใบ ธูป 9 ดอก เทียน 9 เล่ม ซึ่งหมายถึงความก้าวหน้าในชีวิต หน้าที่ การงาน ดีทางด้านเมตตามหาเสน่ห์ นอกจากนั้นครูบายังได้ศึกษาอาคมไสยเวท จาก อาจารย์บูบุอ่อง (ชาวพม่า)  อาจารย์สาธู (ชาวกะเหรี่ยง) และอีกมากมายหลายท่าน ซึ่งบางท่านครูบาก็ไม่ทราบชื่อ อาจารย์หลายท่านที่สอนวิชาทางอาคม ทางด้านเมตตามหานิยม การรักษาโรคด้วยสมุนไพร การแก้คุณไสย ถูกผี ลมเพ ลมพัด และอีกมากมาย

     จากนั้นจึงได้ไปศึกษาหาวิชาความรู้เพิ่มเติมจากอาจารย์ฆราวาส ทางอีสานบ้าน เรียนขึ้นธรรมบ้าง รักษาเรื่องการแก้กรรม และบรรเทาทุกข์ให้กับญาติโยม เช่นปวดกระดูก ปวดข้อ ปวดอะไรก็ตาม ส่วนมากลูกศิษย์ที่มาหามักจะให้ครูบาลงนะ 9 จุด สักสาลิกาเพื่อความเป็นสิริมงคลและเสริมดวงให้ดีขึ้น จุด 9 จุดนี้ต้องเจิมน้ำมันว่านไก่แดง  โดยว่านไก่แดงนี้ครูบาได้มาจากประเทศพม่า ในตอนแรกเขาไม่ได้เรียกว่านไก่แดงหรอก ลักษณะเม็ดมันเท่าหัวไม้ขีด ต้องไปรอแต่เช้าตรู่ พอพระอาทิตย์ขึ้นว่านไก่แดงถึงจะออกมาเป็นเกล็ดๆ ตามหน้าผ้า   การเจิมมงคล 9 จุดช่วยเสริมดวง หนุนดวง เวลาลงแล้วเราจะอธิษฐานขออะไรก็ได้ตามที่เราขอนั้น ส่วนการสักยันต์สาลิกาที่ริมฝีปาก จะช่วยในการพูดการจา การติดต่องาน การค้าขายไปด้วยดี ครูบาอาจารย์ที่เรียนวิชานี้ในสมัยก่อนก็มีหลายคน แต่แกไม่ให้เอ่ยชื่อ ที่เชียงใหม่ก็มีคนมาสักเยอะ พวกนักร้องและคนที่มีชื่อเสียงก็นิยมสักสาลิกา ข้อห้ามของคนที่สักสาลิกาคือ ต้องปฏิบัติตัว โดยตอนแรกครูบาจะถามว่าปฏิบัติได้ไหม ห้ามด่าพ่อล้อแม่ ห้ามถ่มน้ำลายใส่โถส้วม ห้ามพูดคำหยาบ ก็หมายถึงรักษาศีล 5 นั่นแหละ   หลังจากที่สักสาลิกาแล้วเราต้องรักษาตรงนี้ให้ได้และถ้าปฏิบัติผิดพลั้งพลาดไปเราก็ไม่ต้องเริ่มใหม่ แต่จะต้องเตรียมแผ่นทองมาให้ครูบาลง พอลงๆไปและครูบาก็จะเรียกให้กลับคืนมา เคยมีตัวอย่างเหมือนกัน คือ มีคนขับวินมอเตอร์ไซด์ในกรุงเทพฯ เค้าทำผิด ผลที่ได้คือจากที่วันหนึ่งเค้าขับรถได้เงินเยอะแยะ รายได้ก็ลดลง ข้อห้ามอีกอย่างก็คือ ห้ามลอดต้นกล้วยที่ออกลูก ถ้าลอดแล้วพลังมันจะอ่อนลง มันเป็นแบบของมีเครือ อย่างราวตากผ้าเนี่ยะ ถ้าไม่ลอดได้ก็จะดี คือถ้าจริงๆที่มีข้อห้ามเยอะก็คือ พวกคงกระพันนั้นแหละ ห้ามกินตำลึง ฟักก็ไม่ได้ อะไรหลายอย่าง ส่วนด้านเมตตาก็ห้ามนิดหน่อย ไม่ค่อยเยอะ แล้วกินอะไรก็ตามปรกติธรรมดา แต่ของครูบาก็ถือเหมือนกัน  พวกฟัก พวกหอย กินไม่ได้ แต่ลูกศิษย์นี่กินได้หมดครูบาไม่ห้าม ขอให้เรามีจิตดีสมาธิดี อธิษฐานอะไรก็จะสำเร็จ การทำพิธีพวกนี้ก็เหมือนเป็นเครื่องยีดเหนี่ยวจิตใจ ทำให้มีกำลังใจ คือเวลาไปพูด หรือจะไปทำการงานใดๆ ก็จะทำให้เรามีความมั่นใจและให้เรายึดอยู่ในศีลในธรรม ไม่โกหก ไม่พูดจาว่าร้ายคนอื่น ก็คือให้ปฏิบัติศีล 5 นั่นแหละ เมื่อก่อนอยู่กับ หลวงปู่ครูบาอิ่นแก้ว ที่วัดวาลุการาม(ป่าเงาะ) อำเภอดอยสะเก็ด ท่าก็ให้คำชี้แนะแก่ครูบาเช่นกัน โดยท่านกล่าวว่า ใครก็ตามไม่ผิดศีล 5 ในอนาคตจะเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐี ถ้าให้อธิบายคือ ผู้ใดที่ปฏิบัติอยู่ในศีล 5 ทิได้ขาดอยู่เนืองนิจ  ถือว่าปฏิบัติดีแล้ว เมื่อปฏิบัติดีก็จะมีเทวดามารักษาคุ้มครอง กิจการงานใดก็บรรลุผล แต่โดยส่วนมากพระทางเหนือทานจะเก่งทางเทียนนะ เทียนสืบชะตา สะเดาะห์เคราะห์ รับโชค และเทียนเศรษฐีพันอย่างก็อธิษฐานได้ ใช้ด้านค้าขาย หนุนดวง เสริมดวงได้หมด เมื่อเราบูชาไปแล้ว ก็ต้องนำไปจุดบูชา เทียนนี้หลวงปู่ได้บอกว่ามันมีทั้งคุณและโทษ โทษก็ไม่มีอะไรหรอก แต่อย่าเผลอก็แล้วกันเพราะว่าจุดทิ้งไว้เดี๋ญวไฟไหม้  หลวงปู่ชอบพูดเล่นอย่างนี้.

 

เรื่องของกรรมฐาน

อย่างครูบาอิ่นแก้ว ท่านจะสอนเรื่องกรรมฐานสมาธิ จะนั่งแบบทั้งวันเลย เวลานั่งอยู่กับท่าน ท่านจะดึงจิตของเราออกไป ดึงจิตไปหาใครก็ได้ ก็คือท่านจะสอนให้มีความอดทน ทำอะไรก็ขอให้มีสติ การปฎิบัตะรรมฐาน อย่างบางคนนี่กรรมฐาน 40 กรรมฐาน อะไรตามแบบครูบาอาจารย์ดั้งเดิมก็ได้ นั้นก็ไม่ผิด แต่ว่าเราจะนั่งแบบธรรมดา คือเรานั่งแบบที่เราสบายที่สุด แล้วก็ภาวนาไป มันจะมีแนวพุทโธ และก็ยุบหนอ พองหนอ ถ้าสายวัดธรรมกายก็สัมมาอะระหัง สาย หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็ นะ มะ ภะ ทะ แต่ว่าตามที่ครูบาศึกษามาแล้วแนวพุทโธ กับแนวยุบหนอพองหนอก็ดี ก็เร็วกว่าทางด้านสมาธิ แต่สัมมาอะระหัง จะเป็นแบบลูกแก้วใสๆ ก็เหมือนกับว่าเราหลับตาแล้วก็นึกภาพว่ามีดวงแก้วใสๆ อยู่ตรงนี้ ให้มาตรงนี้ ห่างจากใต้สะดือ 2 นิ้ว กำหนดจากหน้าผากลงมาที่คาง ลงมาที่จุดศูนย์รวมสะดือ คล้ายๆจักระนั่นแหละ ของครูบาใช้ยุบหนอพองหนอ เมื่อก่อนใช้ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ แล้วก็เอาพุทโธเข้ามาผสมเข้าด้วยกัน ก็เหมือนกับว่าใครถนัดแบบไหนก็ใช้แบบนั้น เมื่อตอนที่ครูบาไปทีประเทศจีน ไปแลกเปลี่ยนกรรมฐานแบบกสิณน้ำ อย่างบ้านเราก็กสิณดิน ก็จะเพ่งดิน กสิณไฟก็เพ่งไฟ ตอนนี้จะเล่ากสิณน้ำให้ฟัง ที่จีนเค้าจะนรวบรวมสมาธิ ก็จะมีขันใส่น้ำจนเต็มแล้วให้คนที่ฝึกนั้นถือแล้วก็เดิน  ทางนั้นเค้าเรียกภาษาจีน ก็ประมาณ ยุบหนอ ย่างหนอ แล้วค่อยๆเดินไป แล้วก็เพ่งๆไป พอสมาธิรวมเสร็จก็นั่งตรงโขดหิน ตรงที่มีน้ำตกไหลลงมานั่งให้ได้สัก 3-4 ชั่วโมงก็ว่าไป ฝึกให้สงบเมหือนกับว่าเสียงอะไรก็กระทบไมได้  เหมือนสมเด็จพุฒาจารย์โต ท่านก็ว่าฝึกนั่งที่น้ำตกให้น้ำตกใส่ท่านทั้งวัน และก็นั่งกลางแดดทั้งวันเลย คือผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างนี้ก็คือไม่รู้ร้อนรู้หนาว เหมือนฝึกความอดทน ไม่ว่าเราจะอยู่ในสภาพไหนก็ตาม  อย่างกรรมฐานตามแบบครูบาเจ้าศรีวิชัย จะเอากำลังเราว่าเป็นใหญ่ตามที่ครูบาได้อ่านและศึกษามาแต่ว่าท่องมนต์ที่ให้ได้ 108 แล้วนั่งอย่างนี้ คือตัวเราเองนั่งได้แค่ไหนก็แค่นั้น โดยไม่ต้องฝืนตัวเอง คือเอาใจตัวเราเข้าว่า เราฝึกได้แค่ไหนก็แค่นั้น มีอยู่คนหนึ่งที่เชียงใหม่ แต่ตอนนี้เขาเป็นฆราวาสแล้ว ตอนนั้นมาบวชใหม่ๆแล้วอยากจะทำให้มันดีไปเลย ก็ฝึกนั่งได้ไม่นานก็เป็นบ้าไปเลย แกบอกว่าเจอหนุมานบ้าง เจออะไรสารพัด ถ้าถามว่ามันมีไหม มันมี อย่างมโนยิทธิก็เป็นอย่างหนึ่ง ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ ก็ นะ มะ ภะ ทะ ไปสวรรค์ไปนรก ไปนู่นไปนี่ เมื่อก่อนครูบาก็ฝึกหลายอย่างนะ อย่างกสิณไฟก็ฝึกเพ่ง มีเพื่อนเหมือนกันฝึกเพ่งด้วย กสิณไฟสามารถสะกดจิตได้ คือเพ่งๆไปสะกดจิตตัวเองหลับ ทีนี้เทียนมันไหม้พอดีมีคนมาเห็นไฟเกือบไหม้ไปถึงตัวแกแล้ว พอเรียกตัวแกปุ๊บ แกก็บอกว่าเป็นอะไรไม่รู้ อ้าว! ไฟไหม้ตัวแกไม่รู้ ตัวเลย เพราแต่ก่อนนี้เขาเพ่งกันแบบเพ่งแล้วไฟดับ เพ่งแล้วไฟติด ฝึกแบบนี้เป็นการฝึกในขั้นระดับสูงๆแล้ว อย่างบางคนก็แนวหนึ่ง คือมันจะรวมได้หมด อานาปานสติ 16 ขั้น

     อย่างครูบาก็ฝึกเอาแต่ว่าเอาขั้นที่ 5 ที่ 6 คือเอาพอให้รู้ พออะไรก็พอแล้ว อยากฝึกกสิณดิน กสิณน้ำ กสินลม กสิณไฟ ถ้าฝึกหมดแล้วกสิณไฟจะยาก เตโชกสิณก็ยาก

     หลังจากอุปสมบทอะไรแล้วเสร็จ แล้วเค้าก็มีกำหนดการให้เจ้าอาวาสต้องจบปริญญาตรี ครูบาก็ได้มากับเขาหน่อย จบปริญญาตรีศาสนศาสตร์บัณฑิตที่วัดเจดีย์หลวง แต่ว่ามันมี 2 ที่นะ คือที่มหาจุฬาฯ และ กับมหามกุฎฯ แต่ของครูบานี่จบมหามกุฎฯ  เพราะมหามกุฎฯ นี่คือธรรมยุต มหาวิทยาลัยแม่ของมหามกุฎฯอยู่ทีวัดบวรฯ ของครูบาที่เรียนก็ถือว่าเป็นสาขา เขาเรียกว่าวิทยาเขตล้านนา มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยก่อนนั้น เจดีย์ที่วัดเจดีย์หลวง เค้าปั้นแข่งกับวัดกู่เต้าของประเทศพม่า คนไทยกับคนพม่าเค้าปั้นแข่งกันว่าใครจั้นเสร็จก่อนภายใน 3 เดือนอย่างนี้ หรือ 6 เดือน หรือเท่าไหร่เนี่ย  แต่ของทางพม่าเขาปั้นอันเล็กก็จะเสร็จเร็ว แต่ของไทยเราใหญ่ที่วัดเจดีย์หลวง ทีนี้พอเจดีย์สูงขึ้นของพม่าเค้าก็จะเสร็จแล้ว แต่ไทยเราฉลาด เลยเอาเสื่อมาม้วนๆ ทำยอดให้ฝั่งพม่าเห็น ที่เห็นเป็นยอดอยู่นั้นยังไม่เสร็จ แต่ทำหลอกไว้พม่าก็บอกว่าฝั่งไทยทำเก่ง ทำเสร็จเร็วจริงๆ

 

Advertising Zone    Close

Online: 1 Visits: 49,924 Today: 3 PageView/Month: 327

ด้วยความปราถนาดีจาก "สยามทูเว็บดอทคอม" และเพื่อป้องกันการเปิดเว็บไซต์เพื่อหลอกลวงขายของ โปรดตรวจสอบร้านค้าให้แน่ใจก่อนตัดสินใจซื้อของทุกครั้งนะคะ    อ่านเพิ่มเติม ...